บท

  1. 1
  2. 2
  3. 3
  4. 4
  5. 5
  6. 6
  7. 7
  8. 8
  9. 9
  10. 10
  11. 11
  12. 12
  13. 13
  14. 14
  15. 15
  16. 16
  17. 17
  18. 18
  19. 19
  20. 20
  21. 21
  22. 22
  23. 23
  24. 24

พันธสัญญาเดิม

พันธสัญญาใหม่

ลูกา 8 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

คำอุปมาเรื่องผู้หว่าน

1. หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า สาวกทั้งสิบสองคนอยู่กับพระองค์

2. พร้อมกับพวกผู้หญิงซึ่งทรงรักษาให้หายจากวิญญาณชั่วและโรคต่างๆ ผู้หญิงเหล่านี้ได้แก่ มารีย์ (ที่เรียกว่าชาวมักดาลา) ที่ทรงขับผีออกจากนางเจ็ดตน

3. โยอันนาภรรยาของคูซาคนต้นเรือนของเฮโรด สูสันนา และคนอื่นๆ อีกมากมาย ผู้หญิงเหล่านี้ช่วยสนับสนุนพวกเขาด้วยทรัพย์สินของตน

4. ขณะผู้คนจำนวนมากมาชุมนุมกันอยู่และประชาชนจากเมืองนั้นเมืองนี้กำลังพากันมาเข้าเฝ้าพระเยซู พระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่า

5. “ชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง ถูกเหยียบย่ำและนกในอากาศก็มาจิกกินไปหมด

6. บางเมล็ดตกบนกรวดหิน เมื่องอกขึ้นมาก็เหี่ยวเฉาเพราะขาดความชุ่มชื้น

7. บางเมล็ดก็ตกกลางพงหนาม ถูกหนามงอกขึ้นมาปกคลุม

8. แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี งอกขึ้นมาแล้วเกิดผลมากกว่าที่หว่านไว้ร้อยเท่า”เมื่อพระองค์กล่าวถึงตรงนี้ก็ทรงพูดเสียงดังว่า “ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”

9. เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์ถึงความหมายของคำอุปมานี้

10. พระองค์ตรัสว่า “ความลับของอาณาจักรของพระเจ้า ทรงโปรดให้พวกท่านรู้ แต่กับคนอื่นนั้นเรากล่าวเป็นคำอุปมาเพื่อว่า“ ‘แม้ได้ดูพวกเขาก็ไม่เห็นแม้ได้ฟังพวกเขาก็ไม่เข้าใจ’

11. “ความหมายของคำอุปมาก็คือ เมล็ดที่หว่านคือพระวจนะของพระเจ้า

12. ที่หล่นตามทางคือผู้ที่ได้ยิน แล้วมารก็มาชิงพระวจนะไปจากใจของเขาเพื่อไม่ให้เขาเชื่อและได้รับความรอด

13. ที่ตกลงบนหินคือผู้ที่ได้ยิน แล้วรับพระวจนะด้วยความยินดีแต่ไม่หยั่งรากลึก เขาเชื่อเพียงชั่วระยะหนึ่ง แต่เมื่อถูกทดลองก็เลิกราไป

14. เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนามคือผู้ที่ได้ยิน แต่ขณะที่เขาดำเนินชีวิตไปตามทางของเขาก็ถูกความพะวักพะวน ทรัพย์สมบัติ และความสนุกบันเทิงในชีวิตกีดขวาง เขาจึงไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่

15. แต่เมล็ดที่ตกบนดินดีนั้นคือผู้ที่จิตใจดีงามสูงส่ง ผู้ได้ยินพระวจนะแล้วรับไว้และเกิดผลด้วยความอดทนบากบั่น

ตะเกียงบนเชิงตะเกียง

16. “ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วซ่อนไว้ในถังหรือวางไว้ใต้เตียง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อคนที่เข้ามาเห็นแสงสว่าง

17. เพราะไม่มีสักสิ่งที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสักสิ่งที่ปิดบังไว้จะไม่มีใครรู้หรือไม่ถูกเปิดโปง

18. เหตุฉะนั้นจงเอาใจใส่สิ่งที่เจ้าได้ยินได้ฟังให้ดี ผู้ใดที่มีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้สิ่งที่เขาคิดว่าเขามีก็จะถูกเอาไปจากเขา”

มารดากับน้องชายของพระเยซู

19. ขณะนั้นมารดากับน้องๆ ของพระเยซูมาหาพระองค์ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้พระองค์ได้เพราะคนแน่นมาก

20. มีบางคนมาทูลพระองค์ว่า “มารดากับน้องชายของท่านยืนอยู่ข้างนอกต้องการจะพบท่าน”

21. พระองค์ทรงตอบว่า “มารดาและน้องชายของเราคือบรรดาผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติ”

พระเยซูทรงห้ามพายุ

22. วันหนึ่งพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้เราข้ามทะเลสาบไปอีกฟากหนึ่งเถิด” พวกเขาจึงพากันลงเรือไป

23. ขณะที่เขาแล่นเรือไปพระเยซูบรรทมหลับ เกิดพายุใหญ่กลางทะเลสาบ น้ำซัดเข้าเรือ และพวกเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง

24. เหล่าสาวกเข้ามาปลุกพระองค์และทูลว่า “พระอาจารย์ พระอาจารย์ เรากำลังจะจมแล้ว!”พระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและคลื่น พายุก็สงบลงและทุกอย่างก็สงบเงียบ

25. พระองค์ทรงถามเหล่าสาวกว่า “ความเชื่อของพวกท่านอยู่ที่ไหน?”พวกเขากลัวและประหลาดใจ ต่างถามกันว่า “นี่คือใครหนอ? แม้แต่ลมและคลื่นก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์”

การรักษาคนถูกผีสิง

26. พวกเขาแล่นเรือมาถึงแดนเกราซาซึ่งอยู่คนละฟากกับกาลิลี

27. เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือ พระองค์ทรงพบชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นซึ่งถูกผีเข้าสิง นานแล้วที่ชายคนนี้ไม่สวมเสื้อผ้าไม่อยู่ในบ้าน แต่อาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ

28. เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ส่งเสียงร้องและซบลงแทบพระบาทแล้วตะโกนสุดเสียงว่า “พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์ต้องการอะไรจากข้าพระองค์? ขอโปรดอย่าทรมานข้าพระองค์เลย!”

29. เพราะพระเยซูได้ตรัสสั่งวิญญาณชั่วให้ออกมาจากชายผู้นี้ ผีได้สิงเขาหลายครั้งแล้ว แม้เอาโซ่ล่ามมือเท้าของเขาและวางยามเฝ้า เขาก็หักโซ่ตรวนเสียและผีขับไสเขาให้ออกไปอยู่ในที่เปลี่ยว

30. พระเยซูตรัสถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร?”เขาทูลว่า “ชื่อกอง” เพราะมีผีหลายตนสิงอยู่ในตัวเขา

31. และพวกมันพร่ำอ้อนวอนพระองค์ไม่ให้ทรงสั่งให้มันกลับไปยังนรกขุมลึก

32. แถวนั้นมีสุกรฝูงใหญ่หากินอยู่แถบเนินเขา พวกผีจึงทูลวิงวอนพระเยซูให้ทรงอนุญาตให้พวกมันไปสิงในฝูงสุกรและพระองค์ทรงอนุญาต

33. พวกผีจึงออกจากชายคนนั้นเข้าไปสิงในสุกร แล้วสุกรทั้งฝูงก็กระโจนจากหน้าผาลงทะเลสาบจมน้ำตายหมด

34. เมื่อบรรดาคนเลี้ยงสุกรเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็วิ่งเข้าไปเล่าเรื่องนี้ในเมืองและหมู่บ้าน

35. ผู้คนพากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพวกเขามาหาพระเยซูก็พบว่าผีได้ออกจากชายคนนั้นไปแล้ว เขานั่งอยู่แทบพระบาทพระเยซูสวมใส่เสื้อผ้าและมีสติดี พวกเขาก็กลัว

36. ผู้ที่เห็นเหตุการณ์จึงเล่าให้ผู้คนฟังว่าชายซึ่งถูกผีสิงหายเป็นปกติได้อย่างไร

37. ชาวเกราซาทั้งปวงจึงขอร้องพระเยซูให้ทรงไปจากพวกเขาเพราะพวกเขากลัวมาก พระองค์จึงเสด็จลงเรือจากไป

38. ชายคนที่ผีได้ออกไปจากเขาแล้วนั้นอ้อนวอนขอไปกับพระองค์ แต่พระเยซูทรงส่งเขากลับไปและตรัสสั่งว่า

39. “จงกลับไปบ้านและเล่าให้ใครๆ ฟังว่าพระเจ้าทรงกระทำการเพื่อท่านมากเพียงใด” คนนั้นจึงไปเล่าให้คนทั่วเมืองฟังว่าพระเยซูทรงกระทำการเพื่อเขามากเพียงใด

เด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตและหญิงที่ป่วย

40. เมื่อพระเยซูทรงข้ามฟากกลับมา ฝูงชนพากันต้อนรับพระองค์เพราะพวกเขากำลังรอคอยพระองค์อยู่

41. แล้วมีชายคนหนึ่งชื่อไยรัสเป็นนายธรรมศาลา มาหมอบลงแทบพระบาทพระเยซูและทูลอ้อนวอนให้พระองค์เสด็จไปที่บ้านของเขา

42. เพราะลูกสาวคนเดียวของเขากำลังจะตาย เด็กหญิงนี้อายุราวสิบสองขวบขณะพระเยซูเสด็จไปผู้คนเบียดเสียดพระองค์แน่นขนัด

43. ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว แต่ไม่มีใครรักษานางให้หายได้

44. นางมาข้างหลังพระองค์และแตะชายฉลองพระองค์ ทันใดนั้นเลือดก็หยุดไหล

45. พระเยซูตรัสถามว่า “ใครแตะต้องเรา?”คนทั้งปวงต่างก็ปฏิเสธ เปโตรทูลว่า “พระอาจารย์ ผู้คนรุมล้อมเบียดเสียดพระองค์”

46. แต่พระเยซูตรัสว่า “มีคนแตะเรา เรารู้ว่าฤทธิ์อำนาจซ่านออกจากตัวเรา”

47. ฝ่ายหญิงนั้นเห็นว่าไม่อาจหลบเลี่ยงไปได้ก็กลัวจนตัวสั่นและเข้ามาหมอบลงแทบพระบาท นางกราบทูลพระองค์ต่อหน้าคนทั้งปวงถึงสาเหตุที่แตะต้องพระองค์และที่นางหายโรคทันที

48. พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “ลูกสาวเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค จงกลับไปด้วยสันติสุขเถิด”

49. พระเยซูตรัสยังไม่ทันขาดคำก็มีคนจากบ้านของไยรัสนายธรรมศาลามาบอกว่า “ลูกสาวของท่านเสียชีวิตแล้ว อย่ารบกวนพระอาจารย์อีกเลย”

50. พระเยซูทรงได้ยินก็ตรัสกับไยรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้นแล้วลูกสาวจะหาย”

51. เมื่อมาถึงบ้านของไยรัส พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครติดตามเข้าไปยกเว้นเปโตร ยากอบกับยอห์น และบิดามารดาของเด็ก

52. ขณะนั้นคนทั้งปวงกำลังร้องไห้ไว้อาลัยแก่เด็กนั้น พระเยซูตรัสว่า “หยุดร้องไห้เถิด เด็กน้อยยังไม่ตายเพียงแต่หลับอยู่”

53. พวกเขาหัวเราะเยาะพระองค์เพราะรู้ว่าเด็กตายแล้ว

54. แต่พระเยซูทรงจับมือเด็กน้อยและตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ลุกขึ้นเถิด!”

55. วิญญาณของเด็กก็กลับมา ทันใดนั้นเด็กหญิงก็ลุกขึ้นยืน แล้วพระเยซูตรัสสั่งให้นำอาหารมาให้เด็กรับประทาน

56. บิดามารดาของเด็กต่างประหลาดใจ แต่พระองค์ทรงสั่งพวกเขาไม่ให้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นนี้กับใคร