7. ท่านได้เลี้ยงดูฮาดาชาห์คือ เอสเธอร์ บุตรหญิงของลุงของท่านเพราะเธอไม่มีบิดามารดา หญิงสาวคนนี้รูปงามและชวนมอง เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิตแล้ว โมรเดคัยก็รับเธอมาเป็นบุตร
8. เมื่อรับสั่งของกษัตริย์ และกฎหมายของพระองค์ประกาศออกไป หญิงสาวมากมายก็ถูกรวบรวมเข้ามายังสุสาเมืองป้อมในอารักขาของเฮกัย เอสเธอร์ก็ถูกนำเข้ามาไว้ในราชสำนัก อยู่ในอารักขาของเฮกัยผู้ดูแลสตรี
9. หญิงนั้นเป็นที่พอใจและเป็นที่โปรดปรานแก่เขา เขาจึงรีบจัดเครื่องสำอางและอาหารส่วนที่เป็นของเธอ พร้อมกับสาวใช้ที่คัดเลือกแล้วเจ็ดคนจากราชสำนักให้เธอ แล้วก็ย้ายเธอและสาวใช้ของเธอไปยังสถานที่ที่ดีที่สุดในฮาเร็ม
10. เอสเธอร์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องชาติกำเนิดของเธอ เพราะโมรเดคัยกำชับเธอไม่ให้บอกใคร
11. ทุกๆ วันโมรเดคัยเดินไปเดินมาหน้าลานของฮาเร็ม เพื่อฟังข่าวคราวของเอสเธอร์ว่าเป็นอย่างไร และมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
12. เมื่อถึงเวร หญิงสาวทุกคนจะเข้าไปเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส หลังจากได้เตรียมตัวตามระเบียบของหญิงเป็นเวลาสิบสองเดือนแล้ว (และนี่เป็นเวลาปกติสำหรับประทินผิว คือชโลมกายด้วยน้ำมันกำยานหกเดือน และด้วยเครื่องเทศและเครื่องสำอางของผู้หญิงอีกหกเดือน)
13. หญิงสาวจะเข้าเฝ้ากษัตริย์อย่างนี้คือ เธอต้องการจะเอาอะไรจากฮาเร็มไปยังพระราชวังก็เอาไปได้
14. เธอเข้าไปเฝ้าเวลาเย็น และในเวลาเช้าเธอกลับไปยังฮาเร็มที่สองในอารักขาของชาอัชกาส ขันทีของกษัตริย์ผู้ดูแลนางห้าม เธอไม่ได้ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อีก นอกจากกษัตริย์จะพอพระทัยในเธอและทรงเรียกชื่อเธอให้เข้าเฝ้า
15. เมื่อถึงเวรของเอสเธอร์บุตรหญิงของอาบีฮาอิล ผู้เป็นลุงของโมรเดคัยผู้ซึ่งรับเธอไว้เป็นบุตร จะเข้าเฝ้ากษัตริย์ เธอไม่ได้ขอสิ่งใด นอกจากสิ่งที่เฮกัยขันทีของกษัตริย์ผู้ดูแลสตรีแนะนำ เอสเธอร์เป็นที่โปรดปรานของทุกคนที่เห็นเธอ
16. เขาได้พาเอสเธอร์เข้าไปเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสในพระราชสำนัก ในเดือนสิบซึ่งเป็นเดือนเทเบทในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลของพระองค์
17. กษัตริย์ทรงรักเอสเธอร์ยิ่งกว่าหญิงอื่นทั้งสิ้น และเธอได้รับความโปรดปรานและพระกรุณาจากพระองค์มากกว่าหญิงพรหมจารีทั้งหมด พระองค์จึงทรงสวมมงกุฎบนศีรษะของเธอ และทรงตั้งเธอให้เป็นพระราชินีแทนวัชที