4. อีกคนหนึ่งชื่อเอลีเยเซอร์ (เพราะท่านกล่าวว่า “พระเจ้าของบิดาเราเป็นผู้อุปถัมภ์ของ ข้าพเจ้าและทรงให้ข้าพเจ้ารอดจากพระแสงดาบของฟาโรห์”)
5. เยโธรพ่อตาของโมเสส พาภรรยาและบุตรทั้งสองคนนั้นมาหา โมเสสที่ในถิ่นทุรกันดาร ที่เขาตั้งค่ายอยู่ที่ภูเขาของพระเจ้า
6. มีคนไปบอกโมเสสว่า “แน่ะเยโธรพ่อตาของท่าน พาภรรยากับบุตรทั้งสองของนางมาหาท่าน”
7. โมเสสออกไปต้อนรับพ่อตา กราบลงและจุบท่าน ท่านทั้งสองไต่ถามถึงทุกข์สุขซึ่งกันและกัน แล้วพากันเข้าไปในเต็นท์
8. โมเสสเล่าให้พ่อตาฟังถึงเหตุการณ์ทุกประการ ซึ่งพระเจ้าทรงกระทำกับฟาโรห์ และแก่ชาวอียิปต์ เพราะทรงเห็นแก่พวกอิสราเอล ทั้งความทุกข์ยากลำบากทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้นแก่คน อิสราเอลในระหว่างทาง และพระเจ้าได้ทรงช่วยเขา ให้พ้นภัยอย่างไร
9. เยโธรก็มีความยินดีที่ได้ทราบพระกรุณาทั้งสิ้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่คนอิสราเอล เมื่อพระองค์ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือชาวอียิปต์
10. เยโธรจึงกล่าวว่า “สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงช่วยท่านทั้งหลายให้รอดจากเงื้อมมือชาวอียิปต์ และจากหัตถ์ของฟาโรห์ และทรงช่วยประชากรให้พ้นจากมือของชาวอียิปต์
11. บัดนี้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าพระทั้งปวง ใหญ่กว่าพระเหล่านั้นที่ได้กระทำต่อชนชาติ อิสราเอลอย่างทะนง”
12. เยโธรพ่อตาของโมเสสก็นำเครื่องเผาบูชา และเครื่องสัตวบูชาถวายแด่พระเจ้า ฝ่ายอาโรนกับบรรดาผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลมารับประทาน เลี้ยงกับพ่อตาของโมเสสเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
13. วันรุ่งขึ้น โมเสสออกนั่งพิจารณาพิพากษา ความให้ประชาชน พวกเขายืนห้อมล้อมโมเสสตั้งแต่เช้าจนเย็น