10. เพราะฉะนั้น พวกท่านจงปฏิบัติตามกฎพิธีนี้ตามกำหนดทุกๆปีไป
11. “เมื่อพระเจ้าทรงนำท่านไปยังแผ่นดินของคน คานาอันดังที่พระองค์ได้ทรงปฏิญาณไว้กับท่าน และบรรพบุรุษของท่านว่า จะทรงยกแผ่นดินนั้นให้แก่ท่าน
12. ทุกอย่างที่เบิกครรภ์ครั้งแรกนั้น ท่านจงแยกถวายแด่พระเจ้าและลูกสัตว์หัวปี ตัวผู้ที่เกิดจากสัตว์ใช้งานของท่าน ก็เป็นของพระเจ้า
13. จงเอาลูกแกะไถ่ลูกลาหัวปี ถ้าไม่ไถ่จงหักคอมันเสีย จงไถ่บุตรชายหัวปีทั้งหลายของมนุษย์ไว้ทั้งหมด
14. ต่อไปภายหน้า เมื่อบุตรของท่านจะถามว่า ‘ทำไมจึงทำอย่างนี้’ จงเล่าให้เขาฟังว่า ‘พระเจ้าทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ จากแดนทาสด้วยฤทธิ์พระหัตถ์
15. ครั้นพระทัยของฟาโรห์ดื้อไม่ยอมปล่อยให้พวกเราไป พระเจ้าจึงทรงประหารลูกหัวปีทั้งหลายในประเทศอียิปต์ทั้งของมนุษย์และของสัตว์ด้วย เหตุฉะนี้ ข้าจึงถวายบรรดาสัตว์หัวปีตัวผู้แด่พระเจ้า แต่บุตรชายหัวปีทั้งหลายของข้า ข้าก็ไถ่ไว้’
16. พิธีนี้จะเป็นดังรอยสำคัญที่มือของท่าน และดังเครื่องหมายระหว่างนัยน์ตาของท่าน เพราะพระเจ้าได้ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยฤทธิ์พระหัตถ์”
17. เมื่อฟาโรห์ปล่อยประชากรไปแล้ว พระเจ้ามิได้ทรงนำเขาไปทางแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย แม้ว่าจะเป็นทางใกล้ เพราะพระเจ้าตรัสว่า “เกรงว่าเมื่อประชากรไปเผชิญสงครามเข้า เขาจะเปลี่ยนใจและกลับไปยังอียิปต์เสีย”
18. พระเจ้าจึงทรงนำเขาอ้อมไปทางถิ่น ทุรกันดารยังทะเลแดง ชนชาติอิสราเอลก็ออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ มีอาวุธพร้อมที่จะทำสงคราม
19. โมเสสเอากระดูกของโยเซฟไปด้วย เพราะโยเซฟให้ชนชาติอิสราเอลสาบานไว้ว่า “พระเจ้าคงจะเสด็จมาเยี่ยมท่านทั้งหลายเป็นแน่ แล้วท่านจงเอากระดูกของเราไปจากที่นี่ ด้วย”
20. คนอิสราเอลยกออกจากเมืองสุคคท ไปตั้งค่ายที่ตำบลเอธามบริเวณชายถิ่นทุรกันดาร
21. พระเจ้าเสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และตอนกลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้เขามีแสงสว่างเพื่อจะได้เดินทางได้ทั้งกลางวันและ กลางคืน
22. เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน มิได้คลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย