12. เขาได้จับโลท (บุตรของน้องชายอับราม) ซึ่งอยู่ที่เมืองโสโดมและข้าวของของเขาไปด้วย
13. มีคนหนึ่งหนีมาจากที่รบนั้นบอกให้อับรามคนฮีบรูรู้ เพราะอับรามอาศัยอยู่ที่หมู่ต้นก่อหลวงของมัมเร คนอาโมไรต์ พี่น้องของเอชโคล์และอาเนอร์ คนเหล่านี้เป็นไมตรีกับอับราม
14. เมื่ออับรามได้ยินว่าพวกข้าศึกจับญาติสนิทไปได้ จึงนำพลชำนาญศึกที่เกิดในบ้านของตนสามร้อยสิบแปดคนไล่ตามไปทันที่เมืองดาน
15. อับรามจึงแยกพลของตนออกเป็นกองๆในกลางคืน ทั้งท่านและผู้รับใช้ของท่านก็เข้าตีพวกข้าศึก ไล่ไปถึงเมืองโฮบาห์เหนือเมืองดามัสกัส
16. แล้วท่านนำข้าวของกลับคืนมาหมด และนำโลทญาติสนิทของท่านกลับ พร้อมกับข้าวของของเขากับผู้หญิงและประชาชนด้วย
17. เมื่ออับรามกลับจากการรบชนะกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์ และกษัตริย์ทั้งหลายที่ร่วมกำลังกันนั้นแล้ว กษัตริย์เมืองโสโดมก็ออกมารับอับราม ณ ที่ราบชาเวห์ (คือที่ราบของกษัตริย์)
18. เมลคีเซเดคผู้เป็นทั้งกษัตริย์เมืองซาเลม และปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ก็นำขนมปังกับเหล้าองุ่นมาให้
19. แล้วอวยพรท่าน“ขอพระเจ้าผู้สูงสุดผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินจงโปรดให้อับรามได้รับพระพรเถิด
20. สาธุการแด่พระเจ้าผู้สูงสุดผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในเงื้อมมือของท่าน”อับรามก็ยกหนึ่งในสิบจากข้าวของนั้นถวาย แก่กษัตริย์เมลคีเซเคด
21. ฝ่ายกษัตริย์เมืองโสโดมตรัสแก่อับรามว่า “ขอคืนคนให้แก่เรา แต่ข้าวของนั้นท่านจงเอาไปเถิด”
22. อับรามกล่าวแก่กษัตริย์เมืองโสโดมว่า “ข้าพเจ้ายกมือสาบานตัวต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน
23. ว่า แม้เส้นด้ายหรือสายรัดรองเท้า หรือสิ่งใดๆที่เป็นของของท่าน ข้าพเจ้าก็จะไม่รับเพื่อมิให้ท่านพูดได้ว่า ‘เราได้บำรุงอับรามให้มั่งมี’
24. ข้าพเจ้าจะไม่รับอะไรเลย เว้นแต่เสบียงอาหารที่คนของข้าพเจ้าได้รับประทานเท่านั้น กับส่วนของคนที่ไปกับข้าพเจ้า คืออาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเร ให้เขารับส่วนของเขาไปเถิด”