17. บัดนี้ข้าพระองค์ทูลวิงวอน ขอพระองค์ทรงบันดาลให้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าให้ ใหญ่ยิ่งดังพระสัญญาที่ว่า
18. ‘พระเจ้าทรงพระพิโรธช้า ทรงอุดมในความรักมั่นคง ทรงโปรดยกโทษและให้อภัยการทรยศ แต่ถือว่าไม่มีโทษหามิได้ ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่วสี่ชั่ว อายุ’
19. ขอทรงประทานอภัย ความผิดของชนชาตินี้ตามความยิ่งใหญ่แห่งความรักมั่นคงของพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงประทานอภัยชนชาติ นี้ตั้งแต่อียิปต์จนบัดนี้”
20. แล้วพระเจ้าจึงตรัสว่า “เราให้อภัยตามคำของเจ้า
21. แต่แท้จริงเรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด และโลกจะเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้าแน่ฉันใด
22. คนทั้งหลายที่ได้เห็นพระสิริของเรา และได้เห็นการอัศจรรย์สำคัญที่เราได้กระทำในอียิปต์ และในถิ่นทุรกันดาร และยังได้ทดลองเรามาตั้งสิบครั้ง และยังมิได้เชื่อฟังเสียงของเรา
23. คนเหล่านี้จะมิได้เห็นแผ่นดินที่เราสัญญาไว้กับ ปู่ย่าตายายของเขาฉันนั้น คนทั้งปวงที่สบประมาทเราจะไม่ได้เห็นแผ่นดิน นั้นสักคนเดียว
24. แต่ส่วนคาเลบผู้รับใช้ของเรา เพราะมีจิตใจต่างกันและได้ตามเราอยู่ตลอดมา เราก็จะได้นำเขาไปถึงแผ่นดินที่เขาได้ไปมา และเผ่าพันธุ์ของเขาจะได้กรรมสิทธิ์เมืองนั้น
25. พวกอามาเลขและพวกคานาอันอยู่ที่หว่างเขา พรุ่งนี้เจ้าจงกลับไปในถิ่นทุรกันดารตามทางถึงทะเลแดง”
26. พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
27. “เราจะทนชุมนุมชนชั่วร้ายนี้บ่นต่อเรานานสักเท่าใด เราได้ยินเสียงบ่นของคนอิสราเอลซึ่งเขาบ่นว่าเรา
28. เจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสว่า ‘เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะกระทำสิ่งที่เจ้าทั้งหลายบ่นให้เราได้ยินแก่ เจ้าฉันนั้น
29. ซากศพของเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ จำนวนคนทั้งหมดของเจ้านับตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป ผู้ใดที่บ่นว่าเรา
30. จะไม่มีสักคนหนึ่งที่มาถึงแผ่นดินที่เราสัญญาว่า จะให้เจ้าอาศัยอยู่ เว้นแต่คาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรนูน
31. แต่ลูกเล็กที่เจ้าทั้งหลายว่าจะเป็นเหยื่อนั้น เราจะพาเขาทั้งหลายเข้าไปและเขาจะรู้จักแผ่นดิน ที่เจ้าทั้งหลายได้สบประมาท
32. ส่วนเจ้าทั้งหลาย ศพของเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้
33. ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายจะเป็นผู้เลี้ยงแกะอยู่ในถิ่น ทุรกันดารถึงสี่สิบปี เขาจะทนโทษการเล่นชู้ของเจ้า จนกว่าจำนวนซากศพของเจ้าจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ครบ